บทนำตลาดที่จอดรถ
ก่อนที่เราจะเริ่มพูดถึงเทคโนโลยีงานก่อสร้างด้วยเหล็กที่เหมาะสมกับอาคารที่จอดรถ เราอาจจำเป็นต้องทราบข้อมูลของตลาดธุรกิจที่จอดรถในประเทศไทยเสียก่อนว่ามีความน่าสนใจอย่างไร แล้วเป็นโอกาสสำหรับพวกเราชาววิศวกรโครงสร้างกันอย่างไรบ้าง
อย่างที่เราทราบกันเมื่อไม่นานมานี้ว่าตลาดหุ้น SET ของไทยเพิ่งจะมีธุรกิจน้องใหม่ที่ทำธุรกิจที่จอดรถให้เช่า โดยใช้ชื่อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ MAI ว่า JPARK ซึ่งเป็นหุ้นของ บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) โดยลักษณะของธุรกิจที่ บมจ. เจนก้องไกลดำเนินการคือ การให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารพื้นที่จอดรถ โดยแบ่งเป็น 3 ธุรกิจหลัก คือ (1) ธุรกิจให้บริการที่จอดรถ (2) ธุรกิจรับจ้างบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (3) ธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) แล้วธุรกิจที่จอดรถมีความน่าสนใจอย่างไร หากเราพิจารณาผลการดำเนินงานของ JPARK เป็นตัวแทนของธุรกิจนี้ ไปดูกันครับ
ข้อมูลผลประกอบการของ JPARK Q1/2024 เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันถึง 135% แตะ 24 ล้านบาท โดยจำนวนช่องจอดของ JPARK ในปี 2023 มีอยู่ที่ราว 36,000 ช่อง และบริษัทฯ ตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปี 2024 จะเพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ช่อง ซึ่งเป็นการเติบโตราว 11%
เรามาดูกันต่อในส่วนของกำไรต่อหุ้น (EPS = Earnings Per Share) ในช่วงระหว่างปี 2022 ถึงปี 2023 เติบโตถึง 52.37% (YoY) รายได้สุทธิเติบโตที่ 13.67% โดยโครงสร้างรายได้ของ JPARK ทุกๆ 100 บาท จะเป็นต้นทุน 75 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 13 บาท และเหลือเป็นกำไร 12 บาท (ข้อมูลจาก: Longtunman) นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ ใน YouTube Channel: I am Joe Jitnarin “5 ธุรกิจที่คนมองข้ามแต่หาเงินได้จริง ยั่งยืน คู่แข่งน้อย” ยังได้กล่าวถึงธุรกิจที่จอดรถว่า เป็นธุรกิจที่ยั่งยืนอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ได้นำมาเสนอไม่ได้มีเจตนาในการแนะนำธุรกิจเพื่อการลงทุน เพียงแต่ต้องการจะนำเสนอว่า ธุรกิจให้บริการที่จอดรถน่าจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าสนใจในอนาคต และเป็นไปได้ว่าจะมีความต้องการ (Demand) สูงในบริเวณที่เป็นแหล่งเศรษฐกิจ นำไปสู่โอกาสของภาคการก่อสร้างในการก่อสร้างอาคารที่จอดรถต่อไป


เทคโนโลยีงานก่อสร้างด้วยเหล็กและ ระบบโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับที่จอดรถ
การเลือกใช้ระบบโครงสร้างใด ๆ ให้เหมาะสมที่สุดสำหรับการก่อสร้างที่จอดรถเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ เช่น ความเร็วในการก่อสร้าง ข้อจำกัดทางพื้นที่ และงบประมาณ ระบบโครงสร้างแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน ซึ่งอาจเหมาะสมกับบางกรณี และไม่เหมาะสมกับบางกรณี ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละระบบโครงสร้างจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับกรณีของเรา
1. ระบบโครงสร้างแบบพื้นแผ่นพื้น Prestress รวมกับคานเหล็ก และเสาเหล็ก
ระบบโครงสร้างนี้สามารถใช้คานคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาคอนกรีตเสริมเหล็กแทนได้ จุดอ่อนที่สำคัญของระบบโครงสร้างพื้นคานนี้คือระยะจากผิวบนของพื้นจนถึงท้องคาน (Clearance Height) ซึ่งไม่ควรต่ำกว่า 7 ฟุต หรือ 2134 มม. ตามมาตรฐานของ International Code Council (ICC) (source: https://codes.iccsafe.org/s/IBC2015NY/chapter-4-special-detailed-requirements-based-on-use-and-occupancy/IBC2015-Ch04-Sec406.4)
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานจาก The American National Standards Institute (ANSI) แนะนำให้ระยะ Clearance Height ควรอยู่ที่ 2300 มม. และ The National Building Code จากอินเดียแนะนำที่ 2500 มม. ซึ่งมากกว่าคำแนะนำของ ICC ดังนั้น เราเลือกใช้ระยะ Clearance Height จาก ANSI หรือที่ 2300 มม. เนื่องจากมีการศึกษาระบุว่าการใช้ Clearance Height 2.3 ม. นั้นดีต่อผู้ใช้งานมากกว่า (source: https://www.linkedin.com/pulse/enhancing-basement-parking-safety-raising-minimum-clearance-hafiz-k7joc/) ทำให้ ความสูงจากพื้นถึงพื้นเมื่อใช้ระบบโครงสร้างนี้จึงมากที่สุด
การพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างและระบบโครงสร้างที่เหมาะสมสำหรับอาคารที่จอดรถจำเป็นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย และความรู้เกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของแต่ละระบบจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด


จากรูปที่แสดงด้านบน การเลือกใช้คานและเสาเป็นเหล็กสามารถลดจุดอ่อนเรื่อง Clearance Height ได้ เนื่องจากเหล็กมีความสามารถในการต้านทานการเสียรูปที่ดีกว่าคอนกรีต จึงสามารถลดความสูงของคานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คานเหล็กยังสามารถเชื่อมต่อกับเสาเหล็กได้ง่ายกว่าเสาคอนกรีต ซึ่งทำให้การก่อสร้างมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ระบบโครงสร้างแบบนี้มีข้อดีที่สำคัญคือสามารถทำเป็นการก่อสร้างสำเร็จรูป (Prefabricated Construction) ทำให้มีกิจกรรมการก่อสร้างที่หน้างานน้อยลง และสามารถดำเนินการก่อสร้างได้รวดเร็วกว่ารูปแบบอื่น ๆ ดังนั้น หากระบบโครงสร้างแบบนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับโครงการของคุณเนื่องจากเงื่อนไขด้านเวลา เรามีรายละเอียดที่สามารถลดจุดอ่อนของโครงสร้างรูปแบบนี้ได้ ดังที่แสดงในรูปด้านล่าง


รายละเอียดการใช้คานเหล็กร่วมกับแผ่นพื้นคอนกรีตและ Steel Deck
Detail ของการใช้คานเหล็กร่วมกับแผ่นพื้นคอนกรีตและ Steel Deck สำหรับการใช้คานเหล็กร่วมกับแผ่นพื้นคอนกรีต จำเป็นต้องมีระยะของ Top Flange ที่เพียงพอสำหรับระยะวางแผ่นพื้น (Deck Bearing Length) และ Shear Connector เพื่อให้เกิดผลของการทำงานร่วมกันของคานเหล็กและแผ่นพื้นคอนกรีต (Composite Section Effect) หลังจากนั้นจะเทคอนกรีตท็อปปิ้งลงไปบนแผ่นพื้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างด้วย composite action และปรับระดับพื้นให้เสมอกัน
ในทำนองเดียวกัน การใช้คานเหล็กร่วมกับ Steel Deck ก็มีหลักการคล้ายกับการใช้คานเหล็กร่วมกับแผ่นพื้นคอนกรีต แต่มีความสะดวกมากกว่าในด้านการก่อสร้าง เนื่องจากน้ำหนักของ Steel Deck เบากว่าและสามารถจัดการกับการป้องกันการรั่วไหลของคอนกรีตเหลวได้ง่ายกว่าและดีกว่า ทำให้เวลาการก่อสร้างสามารถลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น การเลือกใช้คานเหล็กร่วมกับแผ่นพื้นคอนกรีตหรือ Steel Deck ขึ้นอยู่กับความต้องการและข้อจำกัดของแต่ละโครงการ โดยทั้งสองรูปแบบมีข้อดีที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการก่อสร้างและลดเวลาในการดำเนินงานได้


รายละเอียดการใช้ Delta Beam: นวัตกรรมการก่อสร้างด้วยเหล็กจากบริษัท PEIKKO
Delta Beam เป็นนวัตกรรมการก่อสร้างด้วยเหล็กจากบริษัท PEIKKO ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการซ่อนคานทั้งหมดไปกับความหนาของแผ่นพื้นคอนกรีต ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสูงต่ำ (Clearance Height) ในระบบโครงสร้างนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมการก่อสร้างด้วยเหล็กนี้มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ การเลือกใช้งาน Delta Beam ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าในแง่ของประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาและความเหมาะสมกับงบประมาณของโครงการ
การใช้งาน Delta Beam ในการก่อสร้างอาคารจอดรถหรือโครงสร้างอื่น ๆ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการออกแบบ โดยสามารถลดข้อจำกัดทางด้านความสูงต่ำของพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานพื้นที่ได้มากขึ้น
2. ระบบโครงสร้างแบบพื้นไร้คานและเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก
ระบบโครงสร้างแบบพื้นไร้คาน ไม่ว่าจะเป็นพื้นไร้คานแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Flat Slab) หรือพื้นไร้คานแบบอัดแรงภายหลัง (Post-Tensioned Flat Slab) มีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาเรื่องระยะพื้นถึงพื้น (Floor-to-Floor Height) ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
การใช้พื้นไร้คานแบบคอนกรีตเสริมเหล็กหรือแบบอัดแรงภายหลังช่วยลดความสูงของโครงสร้าง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้คานเสริมระหว่างแผ่นพื้น ทำให้มีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นและเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบอาคาร นอกจากนี้ ระบบโครงสร้างแบบพื้นไร้คานยังช่วยลดน้ำหนักของโครงสร้างโดยรวม และสามารถรับน้ำหนักได้มากขึ้นโดยไม่เพิ่มความสูงของพื้น

แม้ว่าระบบโครงสร้างพื้นไร้คานจะมีข้อดีหลายประการ แต่ไม่สามารถสร้างได้รวดเร็วเท่ากับระบบโครงสร้างแบบพื้นแผ่นพื้น Prestress รวมกับคานเหล็ก เนื่องจากโครงสร้างประเภทนี้จำเป็นต้องก่อสร้างแบบหล่อในที่ (Cast In Place) ซึ่งต้องรอให้คอนกรีตแห้งและมีความแข็งแรงเพียงพอก่อนจึงจะดำเนินการก่อสร้างในขั้นต่อไปได้ รวมถึงเสาคอนกรีตที่ต้องใช้เวลารอการถอดแบบหล่อ
นอกจากนี้ การใช้เสาคอนกรีตเสริมเหล็กในการก่อสร้างทำให้ขนาดของเสามีขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อการใช้งานของผู้ใช้อาคาร เนื่องจากทำให้การเลี้ยว ถอยเข้า และออกจากช่องจอดรถมีความยากลำบากมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องใช้โครงสร้างรูปแบบนี้ เราสามารถแก้ไขจุดอ่อนได้บางส่วนด้วยเทคโนโลยีจาก SSI ชื่อว่า POST CONNEX ซึ่งใช้เสาท่อเหล็กร่วมกับระบบโครงสร้างพื้นไร้คาน ทำให้ลดขนาดของเสาและช่วยลดเวลาการก่อสร้างเสาได้บ้าง ดังนั้น การเลือกใช้ระบบโครงสร้างพื้นไร้คาน ควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีและวิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโครงการของคุณ


สรุปแล้ว การเลือกใช้ระบบโครงสร้างสำหรับการก่อสร้างอาคารจอดรถเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากแต่ละระบบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป การใช้คานและเสาเหล็กสามารถลดปัญหาเรื่องความสูงต่ำของคานได้ แต่ระบบพื้นไร้คานอาจจะให้ความสะดวกในแง่ของการลดความสูงจากพื้นถึงพื้น ขณะที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Delta Beam และ POST CONNEX สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาบางประการได้ ทั้งนี้การตัดสินใจเลือกใช้ระบบโครงสร้างใดควรพิจารณาตามข้อกำหนดและข้อจำกัดของแต่ละโครงการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานและการก่อสร้างในโครงการของคุณ